การเผยแพร่ของศาสนาอิสลามเข้ามายังดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หลักฐานเกี่ยวกับการเผยแพร่ของศาสนาอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ศาสนาอิสลามมีกำเนิดขึ้นในคาบสมุทรอาหรับ
ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 7 (ค.ศ. 622 อันเป็นปีที่พระมะหะหมัด
เสด็จหนีอกจากเมืองเมกกะตรงไปยังเมืองเมดินา)
จากนั้นศาสนาอิสลามก็แพร่หลายออกไปสู่ดินแดนอื่นๆ โดยรอบคาบสมุทรอาหรับ
ทางตะวันตกแพร่ไปถึงยุโรปภาคใต้ และทางตะวันออกแพร่เข้ามาสู่อินเดีย
และจากอินเดียเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่นับถือในอินเดียตั้งแต่คริสตศตวรรษที่
13 เป็นต้นมา ในสมัยนั้นมีกษัตริย์มุสลิมครองอยู่ที่ เดลฮี
และในตอนปลายคริสต์ศตวรรษ ที่13 อิสลามเผยแพร่ต่อมาทางใต้ในแคว้นกุจราท
ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองแคมเบย์ อันเป็นเมืองท่าติดต่อทางการค้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแต่เดิม
พ่อค้าอินเดียที่หันไปนับถือศาสนาอิสลามเมื่อมาค้าขายยังเอเชียตะวันออกเฉียงไต้ก็ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ด้วย
ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 13 นั้น
เมื่อพ่อค้าอินเดียเข้ามาค้าขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีจุดประสงค์เพียงค้าขายเท่านั้น
แต่เมื่อสมัยหลังคริสต์ศตวรรษที่ 13
พ่อค้าอินเดียยังมีจุดประสงค์เพื่อการเผยแพร่ศาสนาอิสลามด้วย
เพราะว่าศาสนาอิสลามนั้นไม่มีนักบวชเช่นศาสนาอื่นๆ
ประชาชนทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลามจึงทำหน้าที่เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาไปในตัวนั่นเอง
ความจริงศาสนาอิสลามเข้ามาปรากฏตัวในเอเชียตะวันออกเฉียงไต้ตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่
13 เป็นเวลานาน มีหลักฐานบ่งไว้ว่า
ชาวอาหรับที่เป็นอิสลามเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตรา
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 674 แต่พ่อค้าอาหรับเหล่านี้ไม่ได้ใช้ชีวิตปะปนกับชาวพื้นเมือง
ศาสนาอิสลามจึงไม่มีการแพร่ในสมัยนั้น
ศาสนาอิสลามเริ่มเป็นที่ยอมรับในหมู่เจ้าผู้ครองเมืองต่างๆในหมู่เกาะอินโดนีเซียตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่
13 หลักฐานเกี่ยวกับการเผยแพร่ของศาสนาอิสลามในสมัยนี้ก็คือ บันทึกของมาร์โค โปโล (Marco Polo) ผู้เดินทางมาถึงเมือง Perlak ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเฉียงเหนือของเกาะสุมาตรา
ในปี 1292 เมือง Perlak
เป็นเมืองท่าค้าขายอยู่ตรงปากทางเข้าช่องแคบมะละกา
จึงมีพ่อค้าชาวอินเดียซึ่งนับถือศาสนาอิสลามเดินทางเข้ามาค้าขายด้วยเป็นอันมาก
มาร์โคโปโลเล่าว่า พ่อค้ามุสลิมชาวอินเดียได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งในเมืองนี้
และได้เผยแพร่ศาสนาอิสลามให้แก่ชาวเมือง ทำให้ชาวเมืองหันมานับถือศาสนาอิสลามด้วย
ส่วนที่เมือง Samudra ซึ่งอยู่ต่อขึ้นไปทางตอนเหนือของ Perlak
นั้นอิทธิพลของศาสนาอิสลามยังคงไปไม่ถึง จึงอนุมานได้ว่า ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13
ตอนปลายนั้น ศาสนาอิสลามพึ่งจะเริ่มแพร่หลายในหมู่เกาะอินโดนีเซีย แต่เวลาไม่นานหลังจากปี
1292 ศาสนาอิสลามจาก Perlak ก็แพร่หลายเข้ามายังเมือง Samudra
นักโบราณคดีได้ค้นพบจารึกที่หลุมฝังศพของสุลต่านของ Samudra ซื่อ Sultan Malik al Saleh ซึ่งเป้นกษัตริย์ที่นับถือศาสนาอิสลามองค์แรกของเมือง Samudra
และจารึกอันนี้สลักขึ้นในปี 1297
หินที่จารึกก็นำมาจากเมืองแคมเบย์แคว้นกุจราทในอินเดีย
จากนั้นศาสนาอิสลามก็เผยแพร่ต่อไปยังเมือง Pasai
ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของ Samudra
และแพร่หลายต่อไปยังแหลมมลายู ที่บริเวณรัฐตรังกานู
ได้พบศิลาจารึกเกี่ยวกับหลักธรรมทางศาสนาอิสลาม ซึ่งมีอายุราวปลายคริสศตวรรษที่ 14
จะเห็นได้ว่าในระยะแรกๆ อิสลามได้เผยแพร่ไปอย่างช้าๆ
ในเขตภาคใต้ของเอเชียอาคเนย์ในหมู่ชนชั้นผู้นำที่มีอิทธิพลทางการค้า
แต่มาเมื่ออาณาจักรมะละกาเจริญขึ้นเป็นศูนย์กลางทางการค้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และกษัตริย์แห่งอาณาจักรมะละกาหันมานับถือศาสนาอิสลาม
อิสลามจึงขยายตัวอย่างรวดเร็วในหมู่เกาะอินโดนีเซียและแหลมมลายู
เพราะพ่อค้ามะละกาจะเผยแพร่ศาสนาไปพร้อมๆกับการค้าขายด้วย
การเผยแพร่ของศาสนาอิสลามในเอเชียตะวันอกเฉียงไต้
ถ้าดูจากหลักสำคัญ
5 ประการ แต่ดั้งเดิมของศาสนาอิสลามแล้ว
จะเห็นได้ว่ามีหลักบางอย่างที่ขัดแย้งกับลักษณะของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่ยังนิยมนับถือวิญญาณต่างอยู่
ศาสนาอิสลามจึงไม่น่าที่จะมีอิทธิพลและแพร่หลายในดินแดนนี้ได้
หลักสำคัญของศาสนาอิสลาม 5 ประการอันเป็นการกำหนดหน้าที่ของมุสลิมมีดังนี้คือ
1.
ต้องมีความเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าองค์อื่นนอกจากพระอัลเลาะห์
และพระมะหะหมัดคือศาสดาผู้นำคำสั่งสอนของพระอัลเลาะห์มาเผยแพร่แก่มนุษย์
2.
มุสลิมต้องสวดอ้อนวอนวันละ 5 ครั้ง คือ ก่อนอาทิตย์ขึ้น ตอนเที่ยง ตอนบ่าย
ก่อนอาทิตย์ตก ตอนเย็น และตอนกลางคืน ก่อนสวดต้องทำตัวให้บริสุทธิ์ และเวลาสวดต้องหันหน้าไปยังเมืองเมกกะ
และสวดเป็นภาษาอาหรับ ในวันศุกร์ควรไปสวดร่วมกับมุสลิมอื่นๆที่สุเหร่า
ซึ่งตามหลักของศาสนาอิสลามแล้วต่างเท่าเทียมกันหมด
และมีความสัมพันธ์ต่อกันประดุจพี่น้อง
3.มุสลิมควรให้ทานแก่คนยากจน
4.
มุสลิมควรอดอาหารในเดือน 9 ตามหลักอิสลาม ซึ่งเรียกว่าเดือนรอมดอน
มุสลิมจะดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารใดๆไม่ได้เลย นับแต่พระอาทิตย์ขึ้น
จนพระอาทิตย์ตก รวมทั้งละเว้นจากการหาความเพลิดเพลินนานาประการด้วย
5.
มุสลิมควรเดินทางไปแสวงบุญที่เมืองเมกกะถ้าหากมีโอกาสที่จะทำได้อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิต
จะเห็นได้ว่าหลักสำคัญๆของศาสนา
เช่น
ไม่มีพระเจ้าองค์อื่นใดนอกจากพระอัลเลาะห์นั้นขัดต่อความเชื่อของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงไต้ทั่วๆไป
ที่นิยมบูชาพระเจ้าหลายองค์ด้วยกัน ทั้งในศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ
แต่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงไต้ส่วนใหญ่ในคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเชียสามารถรับนับถือศาสนาอิสลามได้นั้น
ก็เพราะว่าภายหลังที่พระมะหะหมัดเสด็จดับขันธ์ไปแล้ว
ศาสนาอิสลามก็มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลา
เพื่อให้เข้ากับความรู้สึกนึกคิดของคนในชาติต่างๆในดินแดนที่ศาสนาอิสลามแพร่หลายเข้าไป
เกิดมีนิกายต่างๆแตกแยกออกไปหลายนิกาย เพื่อที่ชาวพื้นเมืองนั้นจะได้นำไปผสมผสานให้เข้ากับวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของตนได้
ประเพณีความเชื่อถือดั้งเดิมของชนชาติต่างๆเหล่านี้
จึงถูกนำมาผสมผสานเข้ากับหลักของศาสนาอิสลามจนในที่สุดก็ยากที่จะแยกแยะออกได้ว่า
หลักใด พิธีใด เป็นของศาสนาอิสลาม และหลักใด
พิธีใดเป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวพื้นเมือง
อิสลามที่ผ่านการวิวัฒนาการเช่นนี้แล้วนั่นเองที่เป็นอิสลามที่เผยแพร่เข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเมืองชุมทางทางการค้าต่างๆอย่างแพร่หลาย
และไม่มีอุปสรรคใดๆ ในทางศาสนาในการที่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะหันมานับถือศาสนาอิสลาม
มีหลักฐานแสดงว่า อิสลามท่แพร่เข้ามายังภูมิภาคส่วนนี้ เป็นนิกายซูฟี
ซึ่งเป็นนิกายที่นิยมพิธีต่างๆที่ลึกลับและนิยมอภินิหาร
ซึ่งเข้ากับความนิยมดั้งเดิมของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงไต้ เป็นอย่างดี
อิสลามได้แพร่เข้ามายังอินโดนีเซียก่อนชาวอินโดนีเซียได้รับเอาหลักการของศาสนาอิสลามเข้ามาผสมผสานกับประเพณีดั้งเดิมของตนเช่นเดียวกันกับที่เคยกระทำเมื่อรับเอาศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาพุทธมาก่อนแล้วนั่นเอง
ดังนั้นอินโดนีเซียจึง รับเอาหลักการและการปฏิบัติทางศาสนาอิสลามเข้าไปผสมผสานกับประเพณีความเชื่อแต่เดิมของตน
ความเชื่อดั้งเดิมยังมีบทบาทอยู่
ประชาชนในแถบหมู่เกาะอินโดนีเซียและแหลมมลายูรับเอาศาสนาอิสลามโดยมีปัจจัยสำคัญสนับสนุนดังนี้คือ
1.
ถึงแม้หลักศาสนาอิสลามประการหนึ่งจะบ่งใว้ว่ามุสลิมทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันหมดในสายตาของพระเจ้า
แต่ในระยะหลังหลักของศาสนาอิสลามมีการเปลี่ยนไปบ้างดังกล่าว
จึงเกิดมีความเชื่อเรื่องอำนาจความศักดิ์สิทธิ์นอกเหนือจากธรรมชาติ
ซึ่งเป็นอำนาจจากพระเจ้าถ่ายทอดมายังบุคคลสำคัญในสังคมเช่นกษัตริย์
เรียกอำนาจเช่นนี้ตามภาษาอาหรับว่า keramat ความเชื่อเช่นนี้สอดคล้องกับชนสั้นสูงของชาวอินโดนีเซียเกี่ยวกับอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าทางศาสนา
Hinu-Buddhim ที่เรียกว่าศักติ
ที่ถ่ายทอดมาสู่คนสำคัญคือ กษัตริย์ในระบอบเทวราชา
และสอดคล้องกับความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของวิญญาณตามลัทธิ Animism ที่แพร่หลยอยู่ในหมู่ของสามัญชนด้วย
ชาวอินโดนีเชียจึงรับเอาความเชื่อเรื่อง keramat จากศานาอิสลามโดยไม่มีอุปสรรคใด
2.
ศาสนาอิสลามในระยะหลังได้เกิดมีนิกายต่างๆแตกแขนงออกไป
และบางนิกายก็รวมเอาความเชื่อเกี่ยวกับคาถาอาคม อภินิหารต่างๆไว้ด้วย
ดังเช่นนิกายซูฟี และนิกายซูฟีนี่เองที่แพร่หลยเข้ามายังหมู่เกาะอินโดนีเซีย
ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ก็นับถืออภินิหาร คาถาอาคมอยู่แล้ว
ชนชั้นผู้ปกครองก็นับถือลัทธิตันตระ ซึ่งเน้นอภินิหาร
นิกายซูฟีจึงแพร่หลายอย่างรวดเร็ว
3.
ศาสนาอิสลามเน้นความเสมอภาคและภราดรภาพในหมู่มุสลิม
จึงเข้ากันได้กับประชาชนในเอเชียอาคเนย์
ซึ่งแม้จะรับเอาศาสนาพราหมณ์ไว้แต่ก็มิได้รับเอาระบบวรรณะจากพราหมณ์ด้วย
ประชาชนในสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบ่งออกเป็นชนชั้นก็จริง
แต่ชนชั้นเหล่านี้ก็เป็นการแบ่งตามอำนาจหน้าที่เป็นส่วนใหญ่แต่ละชนชั้นมีความสัมพันธ์และมีการเคลื่อนใหวเข้าหากันอย่างสงบ
มิใช่อยู่กันคนละส่วนดังเช่นระบบวรรณะในอินเดีย
อิสลามจึงแพร่เข้ามาในดินแดนนี้อย่างสงบ
ผิดกับในอินเดียที่มีการต่อต้านจนกระทั่งกลายเป็นสงครามกลางเมืองอยู่บ่อยๆ
ประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงไม่รังเกียจที่จะนับถือศาสนาอิสลาม
4.
ในการนับถือศาสนาอิสลามนี้ บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นและข้าราชการในราชสำนักเป็นผู้นับถือก่อนแล้วจึงเผยแพร่ต่อไปยังประชาชน
เหตุผลที่เจ้าผู้ครองเมืองในหมู่เกาะอินโดนีเซียหันไปนับถือศาสนาอิสลามนั้นนอกจากเพราะศาสนาอิสลามที่แพร่เข้ามาไม่มีข้อบังคับอันใดที่ขัดต่อความเชื่อถือหรือสถาบันทางสังคมแต่เดิมแล้ว
ก็เพราะศาสนาอิสลามยังให้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและการเมืองอีกด้วย กล่าวคือ
เจ้าเมืองและชนชั้นสูงในราชสำนักเป็นผู้ดำเนินการค้าขายอยู่กับพ่อค้าต่างชาติ
ดดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพ่อค้ามุสลิมจากอินเดีย จึงเห็นว่าการติดต่อค้าขายสะดวกขึ้น
ถ้าหากหันไปนับถือศาสนาอิสลาม เพราะชาวมุสลิมถือว่ามุสลิมด้วยกันนั้นคือพี่น้องกัน
ส่วนผลประโยชน์ทางการเมืองก็คือ ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14
นี้บริเวณเมืองท่าต่างๆในสุมาตราและชายฝั่งชวาภาคเหนือ
ต้องการปลีกตัวออกจากอำนาจของอาณาจักรมัชปาหิต
ซึ่งขณะนั้นยังมีวัฒนธรรมแบบตันตระอยู่ ถ้าเจ้าเมืองต่างๆต่างหันไปนับถือศาสนาอิสลามจะได้อาศัยศรัทธาในศาสนาสร้างความกลมเกลียวขึ้นในแว่นแคว้นของตน
ประชาชนที่เป็นมุสลิมจะต่อต้านอำนาจของมัชปาหิต
ซึ่งเป็นพวกนอกศาสนาอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น
ศาสนาอิสลามจะแพร่หลายไปอย่างกว้างขวางตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่
15 เป็นต้นไปทั้งนี้โดยอาศัย การเผยแพร่ของบรรดาพ่อค้าในอาณาจักรมะละกา
ซึ่งรุ่งเรืองขึ้นในศตวรรษที่ 15
และได้ทำการค้าขายติดต่อกับเมืองต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างกว้างขวาง
พ่อค้าเหล่านี้จะนำศาสนาอิสลามไปเผยแพร่ตามเส้นทางการค้าของตนด้วย
อ้างอิง
- เอกสารวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 1 (ก่อนการเข้ามาของอาณานิคมตะวันตก) [HI333] : ผศ.ศิวพร ชัยประสิทธิกุล ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น